การอ่านค่าลวดเชื่อมไฟฟ้า (Welding Wire)
การอ่านค่าลวดเชื่อมไฟฟ้า (Welding Wire) มีความสำคัญในการเลือกใช้ลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับประเภทของงานเชื่อมและวัสดุที่จะเชื่อม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีทั้งในด้านความแข็งแรงและความทนทานของรอยเชื่อม โดยปกติแล้วลวดเชื่อมจะมีการระบุรหัสหรือการแสดงค่าบนบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยให้เราสามารถเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้อง
1. รหัสหรือการระบุของลวดเชื่อมไฟฟ้า
ลวดเชื่อมไฟฟ้ามักจะมีการระบุรหัสที่บ่งบอกถึงลักษณะของลวดเชื่อม โดยการอ่านค่าของรหัสจะสามารถให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับลักษณะของลวดเชื่อม เช่น ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และประเภทของการใช้งาน การอ่านค่าลวดเชื่อมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ รหัสที่ระบุถึงวัสดุที่ใช้ในการเชื่อม และรหัสที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติทางกลของลวดเชื่อม
2. การอ่านรหัสลวดเชื่อมแบบ AWS (American Welding Society)
รหัสของลวดเชื่อมที่นิยมใช้กันในอุตสาหกรรมจะใช้ระบบ AWS ซึ่งจะแบ่งเป็นกลุ่มตามคุณสมบัติและการใช้งานที่ต่างกัน ตัวอย่างของรหัสลวดเชื่อมที่มักใช้ ได้แก่ E7018, E6013, E308L, เป็นต้น
ตัวอย่างการอ่านรหัสลวดเชื่อม (เช่น E7018):
E = Indicates that the material is an electrode (ลวดเชื่อม)
70 = ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength) ของลวดเชื่อมที่มีค่า 70,000 psi (pounds per square inch) หรือประมาณ 490 MPa
1 = ลักษณะการเชื่อม โดยเลขนี้จะบ่งบอกถึงประเภทของฟลักซ์ เช่น "1" หมายถึงลวดเชื่อมที่สามารถใช้งานได้ในทุกทิศทาง (All Position)
8 = ระบุถึงประเภทของฟลักซ์ ซึ่งในที่นี้หมายถึงลวดเชื่อมที่เหมาะสำหรับการเชื่อมเหล็กกล้าทั่วไปที่มีความทนทานสูง
ตัวอย่างการอ่านรหัสอื่นๆ:
E6013:
E = Electrode
60 = ความต้านทานแรงดึง 60,000 psi (ประมาณ 420 MPa)
1 = ใช้งานได้ในทุกทิศทาง
3 = ประเภทของฟลักซ์เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถเชื่อมงานที่มีพื้นผิวไม่เรียบ
E308L:
E = Electrode
308 = ใช้กับเหล็กกล้าไร้สนิมประเภท 308 (สำหรับงานเชื่อมสแตนเลส)
L = Low Carbon (มีคาร์บอนต่ำ เหมาะสำหรับการเชื่อมเหล็กกล้าไร้สนิมเพื่อป้องกันการแตกร้าวจากคาร์บอน)
3. คุณสมบัติของลวดเชื่อม
การเลือกใช้ลวดเชื่อมจำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติของลวดเชื่อมที่เหมาะสมกับงานเชื่อม เช่น:
ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength): ค่านี้ระบุถึงความสามารถของลวดในการต้านทานแรงที่ถูกกระทำต่อรอยเชื่อม โดยปกติจะระบุเป็นค่า psi หรือ MPa
การทนทานต่อการกัดกร่อน: สำหรับลวดเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมเหล็กกล้าไร้สนิมหรือวัสดุที่ต้องการความต้านทานต่อการกัดกร่อน เช่น ลวดเชื่อมสแตนเลส
ประเภทการใช้งาน: เช่น ใช้เชื่อมในตำแหน่งใดบ้าง (เชื่อมในทิศทางใดได้บ้าง) เช่น เชื่อมในทุกทิศทาง (All Position) หรือเชื่อมในตำแหน่งเฉพาะ (Flat, Horizontal)
4. ประเภทของฟลักซ์และการใช้งาน
ลวดเชื่อมบางประเภทจะมีฟลักซ์ (Flux) ภายในลวด ซึ่งมีหน้าที่ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันในระหว่างการเชื่อม และเพิ่มคุณสมบัติของรอยเชื่อม ฟลักซ์สามารถมีทั้งประเภทที่ต้องใช้งานร่วมกับแก๊ส (Gas Shielded) หรือที่ไม่ต้องใช้งานร่วมกับแก๊ส (Self-Shielded)
5. ข้อพิจารณาเพิ่มเติม
การเลือกขนาดลวด: ขนาดของลวดเชื่อมจะมีผลต่อการเลือกกระแสไฟฟ้าและความลึกของรอยเชื่อม โดยขนาดของลวดจะต้องเหมาะสมกับลักษณะของงานเชื่อมและเครื่องมือที่ใช้
อุณหภูมิในการเชื่อม: ลวดบางประเภทอาจมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำกว่า เหมาะสำหรับการเชื่อมโลหะที่อุณหภูมิสูงหรือในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
การอ่านค่าลวดเชื่อมไฟฟ้าสามารถทำได้โดยการพิจารณารหัสที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์ของลวดเชื่อม ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลสำคัญ เช่น ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength), ประเภทของฟลักซ์, และการใช้งานที่เหมาะสม การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการเชื่อมประเภทต่างๆ